อาการปวดหัว เป็นเรื่องน่าปวดหัวของใครหลาย ๆ คน เนื่องจากเป็นอาการที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ แถมยิ่งค้นกูเกิลหาคำตอบ ยิ่งเจอแต่คำตอบที่ชวนเครียดกันเข้าไปอีก บทความนี้มีความตั้งใจที่จะให้ข้อมูลด้านต่างๆ พร้อมทั้งแนวทางการรักษาอาการ ปวดศีรษะไมเกรน (Migraine headache)
“ไมเกรน (Migraine)” เกิดจากความผิดปกติชั่วคราวของระดับสารเคมีในสมอง ทำให้ก้านสมองถูกกระตุ้น หลอดเลือดในเยื่อหุ้มสมองมีการบีบและคลายตัวมากกว่าปกติ เกิดอาการปวดหัวตุ๊บ ๆ หรือมีอาการคลื่นไส้อาเจียน แพ้แสง จากก้านสมองที่ถูกกระตุ้น
ปวดหัวไมเกรนมักมีอาการเหล่านี้
มีความเป็นไปได้สูง ว่าอาการปวดหัวข้างเดียว มักเป็นสาเหตุมาจากไมเกรน แต่ก็มีความเข้าใจผิดกันมากว่า ปวดหัวไมเกรน เท่ากับ “ปวดหัวข้างเดียว” เท่านั้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว ผู้ป่วยไมเกรนสามารถปวดหัวได้ทั้งสองข้าง หรือปวดหัวข้างใดข้างหนึ่งก่อนแล้วค่อยย้ายสลับข้างได้เช่นกัน
ดังนั้น หากมีอาการปวดหัวทั้งสองข้าง จึงไม่ควรนิ่งนอนใจว่าตัวเองไม่ได้เป็นไมเกรนแน่นอน ควรพิจารณาจากอาการอื่น ๆ ประกอบด้วย และถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์
ร่างกายและจิตใจของแต่ละคนสามารถทนรับกับความเจ็บปวดได้แตกต่างกัน นอกจากนี้อาการปวดหัวไมเกรนยังมีความรุนแรงหลายระดับ คนที่มีอาการนี้ จึงไม่จำเป็นว่าต้องปวดหัวจนกระทั่งทนไม่ไหวเสมอไป
แม้ว่าจะมีอาการไม่รุนแรง แต่หากอาการดังกล่าวเกิดขึ้นถี่ หรือมีระยะเวลายาวนาน หรือเกิดอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน (ตามลิสต์อาการข้างต้น) ก็ควรเข้าพบแพทย์
หากแบ่งอาการปวดหัวไมเกรนออกเป็นลำดับการแสดงอาการ จะแบ่งได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่
โรคนอนไม่หลับ คือ อาการนอนไม่หลับ หลับลำบาก หรือหลับไม่สนิท
โรคนอนไม่หลับเกิดขึ้นได้ในประชากรทุกช่วงอายุ คนส่วนมากจะมีอาการนอนไม่หลับ 1-2 คืน แต่บางครั้งอาจเกิดขึ้นนานเป็นสัปดาห์ เดือนหรือปี โรคนอนไม่หลับมักพบในผู้หญิงและผู้สูงอายุ
1. โรคนอนไม่หลับจากปัญหาการปรับตัว (Adjustment Insomnia)
ปัญหาหลับได้ยากหรือหลับไม่สนิท เป็นเวลาไม่กี่คืน และน้อยกว่า 3 เดือน มักเกิดจากความ ตื่นเต้นหรือความเครียด ยกตัวอย่างในเด็กอาจนอนพลิกตัวในคืนก่อนที่โรงเรียนเปิดเทอม หรือในคืน ก่อนการสอบสำคัญ หรือก่อนการแข่งขันกีฬา ในผู้ใหญ่มักเกิดขึ้นได้ก่อนการพบปะทางธุรกิจนัดสำคัญ หรือการทะเลาะกันของสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท คนส่วนมากมักมีปัญหานอนไม่หลับ เมื่อต้องห่างจากบ้าน การเดินทางไปในสถานที่เวลาต่างจากเดิม การออกกำลังกายก่อนเวลาเข้านอน (ภายใน 4 ชั่วโมง) หรือเวลาเจ็บป่วยก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของโรคนอนไม่หลับชนิดนี้ เมื่อสถานการณ์ ความตึงเครียดผ่อนคลาย การนอนหลับก็จะกลับมาเป็นปกติ
2. โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic insomnia)
หมายถึง การนอนไม่หลับนานมากกว่า 1 เดือน คนที่นอนไม่หลับส่วนมากมักจะกังวลกับ การนอนหลับของตนเอง หรืออาจเพราะการทำงานของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติในระหว่างนอนหลับ สาเหตุของโรคนอนไม่หลับอาจเป็นอาการของปัญหาอื่น เช่น การมีไข้ หรือ ปวดท้อง หรืออาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน
อัลไซเมอร์ เป็นหนึ่งในสาเหตุของภาวะสมองเสื่อม เกิดจากความเสื่อมถอยของการทำงาน หรือโครงสร้างของเนื้อเยื่อของสมอง พบมากในผู้สูงอายุ ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาการของโรคจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ในที่สุด
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายขาดได้ อยากไรก็ตาม การนำผู้ป่วยมาพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะช่วยยืดระยะเวลาการดำเนินโรคได้ รวมทั้งช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้ ทั้งนี้การดูแลรักษาผู้ป่วย อัลไซเมอร์ สามารถทำได้ 2 วิธีหลัก
โรคเส้นเลือดในสมองตีบ (Ischemic Stroke) คือ หนึ่งในภาวะของโรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากการขาดเลือด และออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง จากการสะสมไขมันบริเวณหลอดเลือดสมอง ผนังหลอดเลือดจึงมีความหนาขึ้น ทำให้การไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมองเกิดความผิดปกติ เซลล์สมองบริเวณนั้นจึงเกิดความเสียหาย ส่งผลให้อวัยวะในร่างกายบางส่วนไม่สามารถควบคุมได้ เป็นอันตรายถึงขั้นปากเบี้ยว สูญเสียการมองเห็น และอัมพฤกษ์ อัมพาต ได้
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเส้นเลือดในสมองตีบ มาจากความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิต โดยเกิดการอุดตันของหลอดเลือดแดงที่มีหน้าที่ในการนำเลือดไปเลี้ยงสมอง จากไขมัน หรือคราบหินปูน สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท
ลักษณะอาการของโรคเส้นเลือดในสมองตีบ จะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ในเวลาไม่กี่นาที เกิดขึ้นตามอวัยวะส่วนต่างๆ ดังนี้
ขั้นแรกแพทย์จะทำการซักประวัติผู้ป่วย เกี่ยวกับระยะในการเกิดอาการของโรค ประวัติความเจ็บป่วยของบุคคลในครอบครัว หลังจากนั้นก็จะทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ได้แก่
โรคลมชักเป็นโรคที่เกิดจากกลุ่มอาการชักอันเนื่องมาจาก การที่สมองส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดทำงานมากเกินปกติไปจากเดิมชั่วขณะ จากไฟฟ้าของการชักเกิดขึ้นและกระจายออกไปในบริเวณส่วนต่างๆของสมอง อาการแสดงที่เกิดขึ้นนั้น ขึ้นกับว่าเป็นส่วนใดของสมองที่ได้รับการกระตุ้นและอาการจะดำเนินอยู่ชั่วครู่
โรคซึมเศร้า เป็นโรคทางจิตเวชที่มีผู้เป็นจำนวนไม่น้อย แต่ยังมีผู้รู้จักโรคนี้ไม่มากนัก บางคนเป็นโดยที่ตัวเองไม่ทราบ คิดว่าเป็นเพราะตนเองคิดมากไปเองก็มี ทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม และทันท่วงที
โรคซึมเศร้า เป็นอาการผิดปกติของอารมณ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยทั้งด้านความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรม โรคซึมเศร้าเป็นภาวะอารมณ์เศร้าหมองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกเฉยชา ไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ ส่งผลต่อความสามารถในการทำงานในแต่ละวัน ซึ่งก่อให้เกิดอาการทางจิตได้มากมาย การดำเนินชีวิตตามปกติอาจทำได้อย่างยากลำบากหรือรู้สึกว่าชีวิตไม่มีค่า
ภาวะซึมเศร้าไม่ใช่ความรู้สึกไม่สบายกายหรือไม่สบายใจที่สามารถสลัดออกไปได้ง่าย ๆ ผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้าควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและยาวนานซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยถอดใจ การรักษา เช่น การทานยาหรือจิตบำบัด หรือทั้งสองอย่าง สามารถช่วยผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้กลับมามีอาการที่ดีขึ้น
เมื่อมีอาการซึมเศร้าครั้งหนึ่งแล้ว อาการอาจกำเริบขึ้นได้อีก ภาวะโรคซึมเศร้ามักจะเกิดขึ้นเป็นระลอก อาการที่อาจพบได้เสมอๆ ได้แก่
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักมีอาการมากจนกระทบชีวิตประจำวัน เช่น การไปโรงเรียน การทำงาน หรือการพบปะสังสรรค์ บางรายอาจรู้สึกเศร้าหมอง ไม่มีความสุขโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาการของโรคซึมเศร้าในทุกวัยมักมีอาการคล้าย ๆ กัน แต่อาจมีบางอาการที่ต่างกันไปตามวัย
ภาวะซึมเศร้าพบได้บ่อยในผู้สูงวัย แต่ไม่ถือเป็นภาวะปกติของคนสูงวัย ภาวะดังกล่าวเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงและควรได้รับการรักษาทันท่วงที แต่โดยมากผู้ป่วยมักไม่ยอมเข้ารับการรักษาและวินิจฉัยโรค ในผู้สูงวัยมักมีอาการต่างออกไปหรือไม่ชัดเจน ได้แก่
เมื่อรู้สึกว่ามีภาวะซึมเศร้าควรรีบพบแพทย์โดยทันที หรือคุยกับครอบครัว เพื่อน หรือคนใกล้ชิดที่ไว้วางใจ
เพราะความวิตกกังวลเกิดขึ้นได้กับทุกคน และการวิตกกังวลที่ไม่มากจนเกินไปย่อมช่วยให้เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างรอบคอบ แต่ถ้าวิตกกังวลจนมากเกินไปและเริ่มส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิต อาจบ่งบอกว่าคุณกำลังเป็นโรควิตกกังวล ซึ่งถ้าไม่รีบรักษาอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ในระยะยาว
5 โรควิตกกังวลดังต่อไปนี้คือโรคที่ไม่ควรละเลย
มีความกังวลอย่างมากในเรื่องต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องแม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะคลี่คลายไปแล้วก็ตาม ซึ่งมักเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต ประจำวัน เช่น การงาน การเงิน สุขภาพ หรือ ความเป็นอยู่ในครอบครัว ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้มักไม่สามารถปรับตัวกับเหตุการณ์เดิม ๆ ที่เกิดขึ้นได้ยังคงคิดถึงเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ซึ่งส่งผลกระทบในด้านต่าง ๆ ทั้งทางกาย คือ มีอาการใจสั่น นอนไม่หลับ และปวดท้องบ่อย ๆ รวมถึงอาการทางความคิดที่หมกมุ่นกับเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ถึงแม้รู้ตัวว่าเป็นความคิดที่ไม่มีเหตุผลก็ไม่สามารถปล่อยวางความคิดเหล่านั้นไปได้ และมักกังวลถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเสมอ ซึ่งวิธีรับมือที่เหมาะสม คือ การเผชิญหน้ากับสิ่งเร้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป ฝึกควบคุมกล้ามเนื้อและควบคุมการหายใจ และปรับลดความคิดเชิงลบ เป็นต้น
ความกลัวที่มีมากเกินเหตุ ซึ่งผู้ป่วยเองถึงแม้จะรู้สึกว่าไม่สมเหตุผล และไม่เหมาะสมกับสิ่งที่มากระตุ้น แต่ก็ไม่สามารถหักห้ามความกลัวได้ และพยายามหลีกเลี่ยงไม่เผชิญหน้ากับสิ่งที่ทำให้เกิดความกลัว โดยมักมีอาการทางกายร่วมด้วย เมื่อเจอสิ่งกระตุ้นที่ทำให้กลัว เช่น ใจสั่น หายใจลำบาก เหงื่อออก มือสั่น และเป็นลม ซึ่งเกิดอาหารเหล่านี้ซ้ำ ๆ เป็นเวลาต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน โดยความกลัวนั้นอาจเกิดจากการเผชิญกับสัตว์ การบาดเจ็บ กิจกรรม สถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะที่ก่อให้เกิดความตึงเครียดจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ เช่น กลัวที่โล่ง กลัวที่แคบ กลัวเลือด กลัวเข็ม กลัวการพูดต่อหน้าชุมชน กลัวที่สูง กลัวเสียงดัง หรือกลัวสัตว์ เป็นต้น
ความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ มีอาการทางกายหลายอย่างพร้อมกัน ได้แก่ ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม แน่นหน้าอก วูบจะเป็นลม ปวดมวนท้อง มึนชาทั้งตัว กลัวจะควบคุมตนเองไม่ได้ กลัวว่า จะตายโดยอาจมีหรือไม่มีสิ่งมากระตุ้น มักเกิดขึ้นทันที คาดการณ์ไม่ได้ และยากที่จะควบคุม สำหรับผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการตกใจกลัวอย่างรุนแรงเป็นพัก ๆ หรือยาวนานเป็นชั่วโมง รวมถึงยังสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก ส่งผลให้เกิดความกลัวและกังวลตลอดเวลาจนทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ปกติ เป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด และพบมากในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย นอกจากนี้โรคนี้อาจนำไปสู่สภาวะต่าง ๆ ได้อีก เช่น โรคซึมเศร้า การติดสารเสพติด ฯลฯ ควรได้รับการรักษาทางจิตเวช คือการรักษาด้วยยาควบคู่กับจิตบำบัด จะทำให้สามารถควบคุมชีวิตได้อย่างปกติ และด้วยการรับมืออย่างเหมาะสม โดยวิธีการดังนี้ให้กำลังใจในทางบวก การผ่อนคลายด้วยการยืดเหยียดร่างกาย การทำศิลปะที่สร้างสรรค์ในการสื่ออารมณ์ความรู้สึก พักผ่อนให้เพียงพอ และลดการดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
ความกลัวต่อการต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่คิดว่าอาจถูกจ้องมอง หรือ ทำอะไรที่น่าอับอายต่อหน้าบุคคลอื่น พยายามที่จะหลบเลี่ยงหรือต้องอดทนมากต่อความกลัวนั้นจนส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และทำให้มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม พบได้บ่อยในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และอาจพบอาการในญาติพี่น้องของผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไปด้วย โดยเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การเลี้ยงดูแบบประคบประหงม การขาดทักษะการเข้าสังคม หรือโดนทำร้ายร่างกาย อาการที่ปรากฏคือ หน้าแดง เหงื่อออกมาก คลื่นไส้ หัวใจเต้นเร็ว หายใจลำบาก ปวดศีรษะ และอาการสั่นเทา เป็นต้น
ความกลัวต่อการแยกจากบ้าน สถานที่คุ้นเคย หรือคนใกล้ชิดมากเกินกว่าที่ควรจะเป็นตามระดับการพัฒนาจิตใจ ซึ่งความกลัวหรือความกังวลนั้น มักจะเกี่ยวกับความสูญเสียหรือความเจ็บป่วยของคนสำคัญ เหตุการณ์ที่อาจทำให้เกิดการพลัดพราก เช่น หลงทาง ถูกลักพาตัว หรือเกิดอุบัติเหตุ ผู้ป่วยจะมีการลังเลหรือปฏิเสธการออกจากบ้านไปโรงเรียนหรือไปทำงาน กลัวมากหรือลังเลที่จะต้องอยู่คนเดียว หรือฝันร้ายเกี่ยวกับเรื่องการพลัดพรากบ่อย ๆ ซึ่งอาการของโรคมักเกิดยาวนานต่อเนื่องอย่างน้อย 4 สัปดาห์ในเด็ก และ 6 เดือนในผู้ใหญ่ ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต ประจำวัน
“อาจดูเหมือนโรคนี้น่ากลัว แต่คุณป้องกันได้ ง่ายๆ แค่ใช้ชีวิตอย่างมีสุข กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย นอกจากนี้ควรฝึกสติเพื่อรู้ทันอารมณ์ของตัวเองว่ามีความเครียดมากเกินไปหรือไม่ รวมถึงการทำสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบอยู่กับปัจจุบันและให้สมองได้ผ่อนคลาย รับรองสุขภาพดีทั้งกายใจห่างไกลโรคอย่างแน่นอน”
165 อ่างทอง ตำบล อ่างทอง อำเภอเกาะสมุย สุราษฎร์ธานี 84140
Copy right 2023 : Published by Asiasearch88